ซูซูกิลั่น สแมชขายดีสุด เล็งเพิ่มกำลังผลิตเป็น "หมื่น" คันต่อเดือน ชี้อาศัยข้อได้เปรียบด้านต้นทุน หลังพัฒนาเทคโนโลยีแต่ยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ ส่งผลให้รถได้รับความนิยม
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายการจำหน่ายในปีนี้ว่าจะมากกว่า 100,000 คันอย่างแน่นอน หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแต่อย่างใด ประกอบกับยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี
โดยเฉพาะซูซูกิ สแมช ที่ขณะนี้บริษัทต้องพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่คาดว่าจะขายเฉลี่ยเดือนละ 5,000 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 10,000 คันต่อเดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับฝ่ายผลิต ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด สำหรับสาเหตุที่ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากตลาดนั้น คาดว่าส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากความได้เปรียบในด้านราคาจำหน่าย
เนื่องจากรถซูซูกิ สแมช นั้นมีต้นทุนการผลิตไม่สูงมากนัก เพราะใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ซึ่งได้รับการพัฒนาและผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 6 ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นอนาคตหากบริษัทยังมีขีดความสามารถในการพัฒนารถจักรยานยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของรัฐบาล บริษัทก็จะยังคงรถประเภทนี้เอาไว้
"นิว สแมชของเราแม้จะยังเป็นคาร์บูเรตอร์อยู่ เนื่องจากเรามองว่ากับเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซีนี้ ทำให้เรามีความได้เปรียบในแง่ราคา ส่วนอนาคตเราก็ขอยืนยันว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ตามที่รัฐบาลกำหนดเราก็จะยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ต่อไปและไม่มีเหตุผลที่ซูซูกิจะต้องเปลี่ยน หากสามารถพัฒนาให้ผ่านค่ามาตรฐานไอเสียได้" นายเลิศศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังได้ส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่ อย่างซูซูกิ โชกัน รถจักรยานยนต์พรีเมี่ยมรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าขายที่เดือนละ 2,000 คัน และซูซูกิ ฮายาเต้ ใหม่ พร้อมตั้งเป้าไว้ที่เดือนละ 1,000 คัน โดยรถ ทั้ง 2 รุ่นเป็นเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดที่ได้รับการพัฒนามาใหม่ ให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และยังสามารถรองรับได้กับน้ำมัน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และอี 20
ส่วนความคืบหน้าหลังจากบริษัทแม่ให้ความสนใจจะย้ายฐานการผลิตเครื่องเอาต์บอร์ด หรือเครื่องยนต์สำหรับเรือแบบ 2 จังหวะมาไว้ที่ประเทศไทยนั้น ขณะนี้การเจรจาทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยและบริษัทแม่ได้ตัดสินใจเลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิต และคาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน
ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่างบิ๊กไบก์นั้น บริษัทยังคงยืนยันนโยบายในการให้บริการหลังการขาย และการมุ่งสร้างภาพลักษณ์เป็นหลัก โดยในช่วงสิ้นปี จะมีการนำเข้ารถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอีก 1 รุ่นอย่างแน่นอน
ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุความไม่สงบทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดรถจักรยานยนต์มากนัก เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาตลาดรวมโตถึง 10%
และซูซูกิคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ที่กว่า 100,000 คัน สำหรับตลาดในประเทศ และ 100,000 คัน สำหรับตลาดส่งออก และเครื่องเอาต์บอร์ดอีก 35,000-36,000 เครื่องในปีนี้
"ส่วนกระแสฟุตบอลโลกปีนี้ซูซูกิก็ได้มีการร่วมกับค่ายหนังสือพิมพ์ในการจัดกิจกรรมต้อนรับบอลโลก พร้อมแจกรถซูซูกิอีกร่วม ๆ 50 คัน ซึ่งเราหวังว่ากระแสบอลโลกจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย"
ด้านนายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงตลาดรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นฮอนด้า 91,989 คัน คิดเป็น 68% ยามาฮ่าจำนวน 34,868 คัน คิดเป็น 26% ซูซูกิจำนวน 4,735 คัน คิด เป็น 4% อื่น ๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน แพล็ตตินั่ม 56 คัน และ อื่น ๆ 964 คัน
เมื่อแบ่งตามประเภทพบว่ารถจักร ยานยนต์แบบเอ.ที.มีจำนวน 68,832 คัน คิดเป็น 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่จำนวน 60,577 คัน คิดเป็น 45%
สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน คิดเป็น 2% แบบสปอร์ตจำนวน 691 คัน คิดเป็น 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่น ๆ 2,171 คัน คิดเป็น 1%
สำหรับแนวโน้มของตลาดคาดว่ารถจักรยานยนต์ประเภทหัวฉีดจะได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับ "ฮอนด้าในฐานะผู้นำ" จึงได้จัดแคมเปญถึงผู้ใช้ที่ตอบรับกับกระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ เปิดโอกาสให้แฟนบอลทั่วประเทศได้ลุ้นโชคทุกรอบไปกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติอังกฤษมาร่วมสร้างสีสันความสนุกในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในครั้งนี้ โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ"
นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับเพิ่มตัวเลขเป้าหมายการจำหน่ายในปีนี้ว่าจะมากกว่า 100,000 คันอย่างแน่นอน หลังจากช่วงที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแต่อย่างใด ประกอบกับยอดขายของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี
โดยเฉพาะซูซูกิ สแมช ที่ขณะนี้บริษัทต้องพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่คาดว่าจะขายเฉลี่ยเดือนละ 5,000 คันต่อเดือน เพิ่มเป็น 10,000 คันต่อเดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับฝ่ายผลิต ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด สำหรับสาเหตุที่ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากตลาดนั้น คาดว่าส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากความได้เปรียบในด้านราคาจำหน่าย
เนื่องจากรถซูซูกิ สแมช นั้นมีต้นทุนการผลิตไม่สูงมากนัก เพราะใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ซึ่งได้รับการพัฒนาและผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ 6 ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นอนาคตหากบริษัทยังมีขีดความสามารถในการพัฒนารถจักรยานยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของรัฐบาล บริษัทก็จะยังคงรถประเภทนี้เอาไว้
"นิว สแมชของเราแม้จะยังเป็นคาร์บูเรตอร์อยู่ เนื่องจากเรามองว่ากับเครื่องยนต์ขนาด 110 ซีซีนี้ ทำให้เรามีความได้เปรียบในแง่ราคา ส่วนอนาคตเราก็ขอยืนยันว่า ถ้าเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ตามที่รัฐบาลกำหนดเราก็จะยังคงใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์ต่อไปและไม่มีเหตุผลที่ซูซูกิจะต้องเปลี่ยน หากสามารถพัฒนาให้ผ่านค่ามาตรฐานไอเสียได้" นายเลิศศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังได้ส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่ อย่างซูซูกิ โชกัน รถจักรยานยนต์พรีเมี่ยมรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าขายที่เดือนละ 2,000 คัน และซูซูกิ ฮายาเต้ ใหม่ พร้อมตั้งเป้าไว้ที่เดือนละ 1,000 คัน โดยรถ ทั้ง 2 รุ่นเป็นเครื่องยนต์ระบบหัวฉีดที่ได้รับการพัฒนามาใหม่ ให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม และยังสามารถรองรับได้กับน้ำมัน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 และอี 20
ส่วนความคืบหน้าหลังจากบริษัทแม่ให้ความสนใจจะย้ายฐานการผลิตเครื่องเอาต์บอร์ด หรือเครื่องยนต์สำหรับเรือแบบ 2 จังหวะมาไว้ที่ประเทศไทยนั้น ขณะนี้การเจรจาทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยและบริษัทแม่ได้ตัดสินใจเลือกใช้ไทยเป็นฐานผลิต และคาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน
ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่อย่างบิ๊กไบก์นั้น บริษัทยังคงยืนยันนโยบายในการให้บริการหลังการขาย และการมุ่งสร้างภาพลักษณ์เป็นหลัก โดยในช่วงสิ้นปี จะมีการนำเข้ารถรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอีก 1 รุ่นอย่างแน่นอน
ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีเหตุความไม่สงบทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดรถจักรยานยนต์มากนัก เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาตลาดรวมโตถึง 10%
และซูซูกิคาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ที่กว่า 100,000 คัน สำหรับตลาดในประเทศ และ 100,000 คัน สำหรับตลาดส่งออก และเครื่องเอาต์บอร์ดอีก 35,000-36,000 เครื่องในปีนี้
"ส่วนกระแสฟุตบอลโลกปีนี้ซูซูกิก็ได้มีการร่วมกับค่ายหนังสือพิมพ์ในการจัดกิจกรรมต้อนรับบอลโลก พร้อมแจกรถซูซูกิอีกร่วม ๆ 50 คัน ซึ่งเราหวังว่ากระแสบอลโลกจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย"
ด้านนายธีรพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงตลาดรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดจำหน่ายรวมที่ 134,516 คัน แบ่งเป็นฮอนด้า 91,989 คัน คิดเป็น 68% ยามาฮ่าจำนวน 34,868 คัน คิดเป็น 26% ซูซูกิจำนวน 4,735 คัน คิด เป็น 4% อื่น ๆ ได้แก่ คาวาซากิ 1,751 คัน เจอาร์ดี 20 คัน แพล็ตตินั่ม 56 คัน และ อื่น ๆ 964 คัน
เมื่อแบ่งตามประเภทพบว่ารถจักร ยานยนต์แบบเอ.ที.มีจำนวน 68,832 คัน คิดเป็น 51% ซึ่งขึ้นนำรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวที่มียอดจดทะเบียนที่จำนวน 60,577 คัน คิดเป็น 45%
สำหรับรถจักรยานยนต์ครอบครัวกึ่งสปอร์ตมีจำนวน 2,245 คัน คิดเป็น 2% แบบสปอร์ตจำนวน 691 คัน คิดเป็น 1% และแบบออฟโรดรวมประเภทอื่น ๆ 2,171 คัน คิดเป็น 1%
สำหรับแนวโน้มของตลาดคาดว่ารถจักรยานยนต์ประเภทหัวฉีดจะได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับ "ฮอนด้าในฐานะผู้นำ" จึงได้จัดแคมเปญถึงผู้ใช้ที่ตอบรับกับกระแสฟุตบอลโลกฟีเวอร์ เปิดโอกาสให้แฟนบอลทั่วประเทศได้ลุ้นโชคทุกรอบไปกับทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์ทีมชาติอังกฤษมาร่วมสร้างสีสันความสนุกในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ในครั้งนี้ โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า "เกาะติดอังกฤษ สู้ศึกลูกหนังโลก ลุ้นโชคทุกรอบกับฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ"
Tidak ada komentar:
Posting Komentar